สถานการณ์โควิดทำให้หน้าร้านและผู้ให้เช่าพื้นที่ต้องร่วมมือกันมากขึ้น เพราะเมื่อรายได้ของหน้าร้านลดลงก็จะส่งผลต่อการจ่ายค่าเช่าที่ ยกตัวอย่างความร่วมมือที่ทำได้ เช่น การปรับรูปแบบการเก็บค่าเช่าจาก Fixed cost เป็นการคิดอัตราค่าเช่าจากส่วนแบ่งรายได้ การเก็บค่าเช่าผู้ประกอบการร้านอาหาร อาจจะเก็บรายวัน รายเดือน รายปีก็ได้ จะเรียกเก็บ % จากยอดขาย

การเช่าพื้นที่ให้ศูนย์อาหาร หรือ ศูนย์การค้า มักจะมีรูปแบบการเช่าอยู่ 3 แบบหลัก คือ ค่าเช่าคงที่ , ค่าเช่าลอยตัว และ ค่าเช่าแบบผสม
1 ค่าเช่าคงที่ ค่าเช่าแบบคงที่ คือ ค่าเช่าที่ทำสัญญาคงที่ไปเลยว่าจะต้องจ่ายเดือนละเท่าไหร่ รวมเป็นปีละเท่าไหร่ ผู้ให้เช่าพื้นที่มีสิทธิ์ปรับขึ้นค่าเช่าปีละกี่ % เป็นเวลาทุกกี่ปี ค่าเช่าแบบนี้ตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก แต่เหมาะกับผู้เช่าที่มีสภาพคล่องทางการเงินดีระดับหนึ่ง
2 ค่าเช่าลอยตัว ค่าเช่าแบบลอยตัว คือ ค่าเช่าที่ผู้ให้เช่าพื้นที่ทำสัญญาตกลงกับผู้เช่าว่าจะเก็บค่าเช่าตามปัจจัยอื่นที่ไม่คงที่ ส่วนใหญ่มักจะอ้างอิงจากยอดขาย ระบบนี้มักนิยมเรียกว่า ส่วนแบ่งกำไร หรือ Profit Sharing โดยผู้ให้เช่าจะเรียกเก็บค่าเช่าจากผู้เช่า โดยดูจากยอดขายเป็นหลัก แล้วจึงหักเก็บตามสัดส่วนที่ตกลงกันไว้ เช่น 40% ของยอดขายรวม เป็นต้น
3 ค่าเช่าแบบผสม ค่าเช่าแบบผสม คือ ค่าเช่าที่เรียกเก็บแบบคงที่ และ ลอยตัว ผสมกัน คือมีทั้งค่าเช่าคงที่ที่ต้องจ่ายทุกเดือน และ ค่าเช่าแบบลอยตัวที่ต้องหักโดยเทียบจากรายได้ แบบนี้จะเป็นที่นิยมกว่าค่าเช่าลอยตัวอย่างเดียว เพราะผู้เช่าต้องพยายามสร้างยอดขายให้เกินกว่าค่าเช่าคงที่ด้วย เพื่อที่จะไม่ขาดทุน ระบบนี้จะสร้างแรงจูงใจได้ดีกว่าลอยตัวเพียงอย่างเดียว
กลับมาที่เรื่องคูปอง ศูนย์การค้า หรือ ห้างสรรพสินค้า ส่วนใหญ่มักจะต้องมีศูนย์อาหารไว้เรียกคนเข้าห้าง ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่เข้ามาขายมักจะเป็นพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ถ้าให้จ่ายค่าเช่าแบบคงที่ตามอัตราค่าเช่าห้างเลยจะสูงมากจนจ่ายไม่ไหว ส่วนมากจึงทำสัญญาผ่านระบบ Profit Sharing เป็นหลัก คือพ่อค้าแม่ค้าเข้าไปทำอาหารสอบว่ารสชาติใช้ได้ตามมาตรฐานศูนย์ แล้วก็ตกลงเปิดร้านได้ การใช้คูปองจะเป็นการบังคับให้เงินสดผ่านศูนย์การค้าก่อน แล้วจึงจะหักให้ร้านค้าไปตามสัดส่วน เช่น 60 : 40 หรือ 70 : 30 เป็นต้น ตามสัญญา Profit Sharing นั่นเอง
การใช้ระบบคูปองจะช่วยลดปัญหาความไม่โปร่งใส และง่ายต่อการสรุปเพื่อจ่ายจ่ายค่าเช่า เพราะศูนย์การค้าจะรู้รายได้ทั้งหมดของร้านและหักสัดส่วนจากยอดขายไปเลย
แต่หากนำมาปรับในการออกแบบสำหรับศูนย์อาหารโดยเป็น Application สามารถบริหารศูนย์อาหารได้ดียิ่งขึ้น เพราะมีทั้งความยืดหยุ่นในแง่สัดส่วน โดยดูจากสถิติที่ผ่านมา ยอดขายสอดคล้องกับค่าใช้จ่ายหรือไม่
0 ความคิดเห็น