ท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ Medical and Wellness Tourism

ไทยเดินหน้าสู่ Medical Hub คุมเข้มโควิด-เปิดรับนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์  เมืองหลวงของโลกด้านสุขภาพ

"เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า บริการทางการแพทย์ของไทย มีความพร้อมที่จะช่วยส่งเสริมการเป็น Medical Hub สะท้อนจากความมีชื่อเสียงด้านคุณภาพการรักษาจนเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ซึ่งหากผนวกเข้ากับเทรนด์การแพทย์สมัยใหม่ จะยิ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นด้านคุณภาพการรักษาของไทยให้ทัดเทียมกับประเทศที่มีวิทยาการด้านการแพทย์ชั้นนำอย่างสหรัฐอเมริกา



ไม่ง่ายนักที่ไทยเราจะขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในด้านการแพทย์ที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอยากเข้ามาเที่ยวพร้อมกับดูแลสุขภาพ เพราะในอดีตแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก รวมถึงอินเดียและมาเลเซีย 


1. ค่ารักษาพยาบาลที่ถูกกว่า และบริการดีกว่า
เมืองไทยมี Medical Mind ชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาติตะวันตกชื่นชอบ อาจเพราะคนเหล่านั้นอยู่ในวัฒนธรรมที่ต่างคนต่างอยู่ ค่ารักษาพยาบาลในไทย ทั้งโรงพยาบาลเอกชนและโรงพยาบาลรัฐ ก็ยังถูกกว่าในหลายๆ ประเทศอีกด้วย


2. จำนวนโรงพยาบาลมาตรฐานที่มากกว่า

หากพูดถึงโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานสากลนั้น ประเทศไทยเรามีโรงพยาบาลที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน JCI (Joint Commission International) มากถึง 42 แห่ง (มากเป็นอันดับ 4 ของโลก)


3. ไทยมีชื่อเสียงด้านการทำศัลยกรรมและความงาม
ไม่ใช่เพียงการรักษาพยาบาลโรคต่างๆ เท่านั้น ไทยเรายังขึ้นชื่อในเรื่องของการทำศัลยกรรม ทั้งการทำศัลยกรรมใบหน้า, การแปลงเพศ รวมไปถึงการบริการด้านความงามอื่นๆ เช่น สปา หรือการนวดต่างๆ

มีการเปิดเผยตัวเลขว่าการทำศัลยกรรมจมูกในไทยนั้น มีราคาถูกกว่าในสหรัฐฯ ถึง 2 เท่า และศัลยกรรมแปลงเพศมีราคาถูกกว่าสหรัฐฯ และยุโรปถึง 10 เท่าเลยทีเดียว



4. การสนับสนุนของภาครัฐ และ EEC ช่วยผลักดันไทยเข้าสู่ Medical Hub ของโลก
EEC หรือ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก มีเป้าหมายที่จะยกระดับประเทศไทยให้กลายเป็นเขตเศรษฐกิจระดับโลก โดยภาคอุตสาหกรรมทางการแพทย์นั้น อยู่ในส่วนของ New S-curve หรือ 5 อุตสาหกรรมใหม่ ที่จะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่


สิ่งที่น่าสนใจคือ ECC กำลังจะช่วยต่อยอดให้ไทยก้าวเข้าไปสู่การเป็นศูนย์กลางการแพทย์อย่างครบวงจร (Medical Hub) โดยการเพิ่มธุรกิจด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์

โดยอุตสาหกรรมนี้มีการเติบโตที่ค่อนข้างเร็วในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรของไทย จะประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้

การให้บริการสมัยใหม่ : การให้บริการด้านการแพทย์ผ่านอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน โดยการใช้เทคโนโลยีการเชื่อมต่อและระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้คำปรึกษาและบริการกับผู้ป่วยทางไกลทั้งในและต่างประเทศ

การวิจัยและผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ : การผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและติดตามผลระยะไกล ซึ่งมีรากฐานมาจากการพัฒนาของเคร่ืองรับรู้และอุปกรณ์การวัดสมัยใหม่ โดยสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้บริโภค 3 กลุ่มคือ กลุ่มผู้ป่วยเรื้อรัง กลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ที่ต้องการวินิฉัยโรคด้วยตนเอง

การวิจัยยา-ผลิตเวชภัณฑ์ : ส่งเสริมและเน้นการวิจัยยาที่เป็นที่ต้องการของเอเชียเป็นหลัก โดยเน้นการลดกระบวนการและลดระยะเวลาการทดลองยาสมัยใหม่ ให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  เพื่อดึงดูดให้มีการทดสอบและผลิตยาในประเทศไทยเพื่อเอเชียในอนาคต รวมถึงอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วจนมีขนาดใหญ่กว่ายาสามัญท่ัวไป




ซึ่งอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติเป็นจำนวนมาก และในอนาคตนอกจากประเทศไทยจะเป็นศูนย์การการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Medical Tourism แล้ว จะยังเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ครบวงจร หรือ Medical Hub อีกด้วย

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น